ความแตกต่างของสเต็มเซลล์ VS โบท็อก และฟิลเลอร์ ศาสตร์ความงามเพื่อผิวหน้า
ในปัจจุบัน ความงามและการดูแลผิวหน้าให้อ่อนเยาว์เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ทำให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ และวิธีฟื้นฟูความงามที่หลากหลายออกมา ซึ่งศาสตร์ความงามเพื่อผิวหน้าที่เป็นที่นิยม ได้แก่ สเต็มเซลล์ โบท็อกซ์ และฟิลเลอร์ ที่มักจะฉีดเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า หรือเติมเต็มใบหน้าให้ดูอิ่มฟู อ่อนกว่าวัย แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสีย และวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน ดังนี้
สเต็มเซลล์ (Stem Cells)สเต็มเซลล์เป็นเซลล์ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ ในร่างกาย อีกทั้งยังสามารถช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เสียหาย โดยสเต็มที่นำมาใช้เพื่อความงามมักจะเป็นสเต็มเซลล์ประเภท สเต็มเซลล์จากสายสะดือ หรือ UC-MSCs (Umbilical Cord Mesenchymal Stem Cells) มีกระบวนการทำงานเพิ่มเซลล์ไฟโบรบลาส (Fibroblast) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างคอลลาเจน และอีลาสติน รวมถึงการผลิตกรดไฮยารูลอนิก ทำให้เกิดประโยชน์ต่างๆ ทั้งการฟื้นฟูผิวให้กระจ่างใส ผิวแลดูอ่อนเยาว์ชุ่มชื้น ลดริ้วรอย และความหย่อนคล้อยบนใบหน้า
ข้อดีของสเต็มเซลล์ในด้านความงาม
• ฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก : สเต็มเซลล์ที่ได้มาจากสายสะดือ เมื่อฉีดเข้าไปแล้วสามารถเจริญเติบโตและสามารถเข้าไปซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพได้ ช่วยให้ผิวพรรณดูกระจ่างใส และอ่อน เยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ใบหน้าไม่ดูแข็งหรือตึงจนเกินไป
• ปลอดภัย และปราศจากผลข้างเคียง : การใช้สเต็มเซลล์ UC-MSCs ไม่มีการต่อต้านจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย อีกทั้งสเต็มเซลล์ไม่ใช่สารเคมีจึงปลอดภัยไม่ด่อให้เกิดผลข้าง เคียงใดๆ ต่อรางกาย
• ฟื้นฟูผิวหน้าในระยะยาว: สเต็มเซลล์ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
เหมาะสำหรับ
• ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
• ผู้ที่ต้องการรักษาริ้วรอยหรือปัญหาผิวจากภายในในระยะยาว
โบท็อกซ์ (Botox)
โบท็อกซ์เป็นสารโปรตีนที่สกัดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งซึ่งใช้ในการฉีดเพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อ การฉีด Botox เพื่อลดริ้วรอยจะใช้กับริ้วรอยเหี่ยวย่น ได้แก่ รอยขวางบริเวณหน้าผาก หัวคิ้ว หรือ รอยย่นจากการขมวดคิ้ว หางตา ใต้ตา นอกจากนี้ยังสามารถใช้ลดรอยย่นบริเวณ สันจมูก ช่วยลดความหนาของร่องแก้ม เป็นต้น โดยหลังฉีดจะสามารถเริ่มสังเกตว่าริ้วรอยลดน้อยลงในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ และจะเห็นผลชัดเจนที่สุดประมาณ 2 สัปดาห์หลังฉีด
ข้อดีของโบท็อกซ์
• ลดริ้วรอยได้อย่างรวดเร็ว: สามารถเห็นผลได้ภายในไม่กี่วันหลังการฉีด ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นอย่างทันตา
• ใช้งานง่ายและสะดวก: การฉีดโบท็อกซ์เป็นการรักษาที่ใช้เวลาสั้น และไม่ต้องพักฟื้น
ข้อจำกัดของโบท็อกซ์
ผลลัพธ์ชั่วคราว: โบท็อกซ์มักมีอายุผลประมาณ 3-6 เดือน และจำเป็นต้องฉีดซ้ำเพื่อรักษาผล
เฉพาะการลดริ้วรอยจากการขยับกล้ามเนื้อ: ไม่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนหรือซ่อมแซมเนื้อเยื่อได้
อาจมีผลข้างเคียง : การฉีดโบท็อกโดยไม่ใช้ผู้เชียวชาญ หรือฉีดผิดจุดอาจส่งผลให้เกิดอาการหน้าเบี้ยว หนังตาตก หรือตึงเกร็งได้
เหมาะสำหรับ
ผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก รอยย่นระหว่างคิ้ว หรือรอบดวงตาอย่างรวดเร็ว
ฟิลเลอร์ (Filler)
ฟิลเลอร์ เป็นสารเติมเต็มที่ฉีดเข้าไปในผิวเพื่อเติมเต็มพื้นที่ที่มีการยุบตัวหรือขาดคอลลาเจน โดยทั่วไปแล้ว ฟิลเลอร์ที่นิยมใช้คือไฮยาลูโรนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยให้ผิวดูอิ่มฟูและเต่งตึงขึ้น
ข้อดีของฟิลเลอร์
• เพิ่มความอิ่มฟูให้กับผิว: สามารถเติมเต็มบริเวณที่ยุบตัว เช่น ร่องแก้ม ริมฝีปาก หรือคาง ทำให้ใบหน้าดูอิ่มเอิบและเต่งตึงขึ้น
• ลดและแก้ไขปัญหาริ้วรอยร่องลึก บริเวณต่างๆ ของใบหน้า เช่น หน้าผาก รอบดวงตา ร่องลึกมุมปาก
• บำรุงผิวหน้าให้กลับมาคงความอ่อนเยาว์ สดใส เปล่งปลั่ง
• เห็นผลทันที: ฟิลเลอร์เป็นการรักษาที่เห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังการฉีด
ข้อจำกัดของฟิลเลอร์
• ผลลัพธ์ชั่วคราว: ฟิลเลอร์มักจะสลายไปตามธรรมชาติ โดยทั่วไปแล้วอาจมีอายุผลประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และตำแหน่งการฉีด
• อาจเกิดอาการบวมและฟกช้ำได้: บางครั้งอาจเกิดผลข้างเคียงหลังการฉีด เช่น อาการบวมชั่วคราวหรือฟกช้ำ
• อาจเกิดการอุดตันในหลอดเลือด ทำให้อวัยวะเสียหายได้
เหมาะสำหรับ
• ผู้ที่ต้องการเติมเต็มใบหน้าและแก้ไขจุดบกพร่องให้ดูอิ่มเอิบขึ้น
การเลือกใช้สเต็มเซลล์ โบท็อกซ์ หรือฟิลเลอร์นั้นขึ้นอยู่กับความต้องการฟื้นฟูผิวของผู้ใช้งาน หากต้องการการฟื้นฟูผิวจากภายใน สเต็มเซลล์เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการฟื้นฟูผิวหน้าในระยะยาว และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ นอกจากนั้นสเต็มเซลล์ยังเป็นศาสตร์ความงามที่ไม่ส่งผลข้างเคียงต่อร่างกาย ในขณะที่โบท็อกซ์เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยอย่างรวดเร็ว และฟิลเลอร์เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความอิ่มฟู แต่ทั้งโบท็อกซ์ แลฟิลเลอร์นั้นอาจจะส่งผลข้างเคียงแก่ร่างกายได้
ดังนั้น การเลือกใช้การรักษาใด ๆ ควรพิจารณาความเหมาะสมตามสภาพผิว ความต้องการของผู้ใช้ และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านความงามเพื่อการประเมินที่แม่นยำและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด